วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561


Record 6
Tuesday 20 February 2018


Content

หน่วยการสอนได้มาจากไหน
1.สิ่งรอบๆตัวเด็ก
2.สิ่งที่เด็กสนใจ(โปรเจค)
3.หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2546 คือ สาระที่ควรเรียนรู้ 
         1 เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เช่น หน่วยการสอนตัวเรา ประสาทสัมผัส 
         2 เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เช่น หน่วยบ้าน
         3 ธรรมชาติรอบตัว เช่น หน่วยใต้ร่มเงาไม้
         4 สิ่งต่างๆรอบตัว เช่น หน่วย อาหารดีมีประโยนช์ ผลไม้เพื่อสุขภาพ
        เนื้อเรื่องของสาระการเรียนรู้ มีดังนี้ 
ภาษา (การพูด เขียน อ่าน ฟัง) 
วิทยาศาสตร์ 
มาตรฐานวิทยาศาสตร์ 
สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต 
ชีวิตกับสิ่งเเวดล้อม 
สาระเเละสมบัติของสาร 
เเรงเเละการเคลื่อนที่ 
พลังงาน 
กระบวนการเปลี่ยนแปลง 
ดาราศาสตร์เเละดาราศาสตร์
ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ขั้นที่ 1 กำหนดขอบเขตของปัญหา 
ขั้นที่ 2 ตั้งสมมุติฐาน 
ขั้นที่ 3 ทดลองและเก็บข้อมูล 
ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ข้อมูล 
ขั้นที่ 5 สรุปผลคำตอบสมมุติฐาน
คณิตศสาสตร์ 
สาระที่ 1 : จำนวนและการดำเนินการ 
สาระที่ 2 : การวัด 
สาระที่ 3 : เรขาคณิต 
สาระที่ 4 : พีชคณิต 
สาระที่ 5 : การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น 
สาระที่ 6 : ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์)
สุขศึกษา(การเคลื่อนไหวเเละจังหวะเเละสุขอนามัย )
ศิลปะ(การ้อย ฉีก ตัด ปะ การพิมพ์ การวาด การปั้น ประดิษฐ์)
คุณธรรม(การทำงานร่วมกัน การวางแผนเเละการลงมือปฎิบัติ การเล่นร่วมกับเพื่อน)
       
       จากนั้นอาจารย์ให้เเต่ละกลุ่มทำ Mind Mapping เเต่ละหน่วย







ตัวอย่างMind Mapping
 หน่วย บ้านเเสนรัก


หน่วย ใต้ร่มเงาไม้


 หน่วย อาหารดีมีประโยชน์
Skills / Brainstorming
-ทักษะการคิดวิเคราะห์
- ทักษะการสื่อในการนำเสนองาน
- ทักษะเทคโนโลยี
Atmosphere in the classroom
- ห้องเรียนสะอาด มีความเรียบร้อย เพื่อนๆตั้งใจฟังเเละจดบันทึก 
The teaching and learning
- การเรียนการสอนในวันนี้อาจารย์มีการยกตัวตัวอย่างกิจกรรมในเเต่ละหัวเรื่่อง ทำให้เข้าใจง่าย เห็นรูปแบบของกิจกรม
Self-analysis
- ตั้งใจเรียน จดบันทึกตามความเข้าใจ  เเต่งกายสุภาพเรียบร้อย

วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561


                            Record 5
Monday 12 February 2018


Content

วันนี้กลุ่มของดิฉันได้นำเสนอเทคนิคการสอนแบบ storyline 


เทคนิคการสอนแบบ storyline 

        เป็นการนำสาระการเรียนรู้จากหลากหลายเรื่องมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เพื่อจัดการเรื่องรู้ภายใต้หัวเรื่องเดียวกัน โดยผูกเรื่องเป็นตอนๆ เรื่องแต่ละตอนจะต่อเนื่องกันและมีลำดับเหตุการณ์และเส้นทางการเดินเรื่อง และใช้คำถามหลักเป็นการนำไปสู่การทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย โดยการลงมือปฎิบัติ เน้นการคิด วิเคราะห์ กระบวนการกลุ่ม

ลักษณะของ storyline
ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ทุกคนมีโอกาสแสดงความสามารถ
สร้างความตื่นตัวให้ผู้เรียนอยู่เสมอ
ฝึกทักษะพื้นฐานกับชีวิตจริง
สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ
ใช้ได้ดีกับการเรียนรู้
ภาษา สิ่งแวดล้อม
เน้นการสร้างความคิดร่วมยอดด้วยตนเอง
ใช้เทคนิค วิธีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย
ปฏิบัติซ้ำ แต่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เน้นการเรียนรู้ร่วมกัน
เน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการ
เน้นการตั้งคำถามหลักของครูผู้สอน

องค์ประกอบและลักษณะกิจกรรม

ตัวอย่างการนำกิจกรรมมาปรับใช้
         หัวข้อที่จะนำมาจัดการเรียนการสอนในเเบบสตอรี่ไลน์นั้นควรจะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเด็ก เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ยกตัวอย่าง ในปัจจุบันเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้บ้านเรื่อนเสียหาย รัฐบาลจึงที่จะช่วยสร้างบ้านให้ชาวบ้านที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ครูจึงนำเรื่องน้ำท่วมมาเล่าให้เด็กฟัง เพื่อเป็นการผูกเรื่องราวต่างๆ ให้เด็กได้คิดเชื่อมโยงกัน เเละได้หัวข้อเรื่องบ้าน (การออกแบบบ้าน) 
         1.ฉาก กิจกรรมช้วยกันคิดว่าในบ้านมีห้องอะไรบ้าง จัดพื้นที่ในบ้านอย่างไร เเละร่วมกันสร้างบ้าน เป็นต้น
        2.ตัวละคร กิจกรรม ร่วมกันคิดว่าในบ้านมีใครอาศัยอยู่บ้าง มีหน้างที่ ลักษณะนิสัยอย่างไร เเละร่วมกันสร้างขึ้นมา (วาดประดิษฐ์)
        3.การดำเนินชีวิต กิจกรรม ร่วมกันอภิปรายลักษณะความเป็นอยู่ กิจวัตรประจำวัน 
        4.เหตุการณ์ กิจกรรม เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้าน เช่น น้ำท่วม ร่วมอภิปรายหาทางป้องกัน
        5.กฎระเบียบ กิจกรรม เช่น ร่วมกันสร้างข้อตกลงการอาศัยอยู่ในบ้าน หลักการปฎิบัติตนอยู่ร่วมกัน
        6.จังหวะเวลา กิจกรรม ในเเต่ละช่วงเวลาทุกคนทำหน้าที่อะไรกันบ้าง
        7.เหตุการณ์ที่สำคัญ กิจกรรม ฉลองวันขึ้นบ้านใหม่
        8.การสะท้อนผลงาน กิจกรรม การสะท้อนผลงานจากความรูุ้สึกหรือสิ่งที่เด็กร่วมกันสร้างชิ้นงานขึ้น

แนวทางการจัดกิจกรรม
ศึกษาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ วิธีการจัด    กิจกรรมแบบ storyline
ศึกษาตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ที่มีลักษณะหัวเรื่องโดยใช้เทคนิค storyline เลือกแผนที่มีความเหมาะสมกับชั้นเรียน เพื่อทดลองสอน
เลือกแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีความยาวสลับซับซ้อนมากขึ้นมาทดลองอีก 2-3 แผนเพื่อให้ชำนาญ
ทดลองเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามหัวข้อเรื่องที่สนใจผูกโยงเนื้อหาสาระการเรียนรู้ที่หลากหลาย เข้าด้วยกัน
สร้างคำถามหลักเพื่อนำไปสู่การจัดการเรียนรู้แบบstoryline
กำหนดระยะเวลาสอนในแต่ละหัวข้อ อาจกำหนดต่อเนื่องกัน 2-3ชั่วโมงในทุกวันศุกร์ช่วงบ่าย หรือสอนวันเว้นวัน หรือสัปดาห์สุดท้าย ก่อนปิดภาคเรียน
นำแผนไปทดลองสอน
บันทึกหลังสอน ปรับแผน กิจกรรม ระยะเวลา 
เนื้อหาสาระการเรียนรู้
เตรียมสื่อแหล่งการเรียนรู้ แหล่งวิทยาการ วิทยากร สถานที่
ประเมินผลงานของนักเรียน

ข้อดีการเรียนการสอนแบบ storyline
Active Learning การคิดและลงมือปฏิบัติ ค้นพบ สืบสวน สร้างจินตนาการ แก้ปัญหา ตัดสินใจ รับผิดชอบ
ยอมรับคุณค่าของตนเองและผู้อื่น
การสื่อสาร
ผู้เรียนพัฒนาตนเอง สติปัญญา ความคิด การวิเคราะห์ สร้างสรรค์ แก้ไขปัญหา ตัดสินใจ สร้างความรู้ แสวงหาความรู้ การสื่อสาร การทำงานร่วมกัน 
ข้อจำกัดการเรียนการสอนแบบ storyline
หัวเรื่องที่สร้างขึ้นต้องเพียงพอที่จะสัมพันธ์เรื่องอื่นได้อย่างกว้างขวาง
ไม่ควรสอนหลายๆหัวเรื่องไปพร้อมกัน
ความร่วมมือผู้สอน
กิจกรรมต้องมีความหมายกับผู้เรียน

แผนการจัดการเรียนรู้แบบ storyline
จุดประสงค์ ( อาจใส่ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง หรือมาฐานที่เกี่ยวข้อง ) 
เนื้อหาสาระ เป็นเนื้อหาเชิงบูรณาการ เกี่ยวข้องกับหลายสาระและหลายๆประสบการณ์การที่อยากให้เด็กฝึกปฏิบัติ ( การสังเกต การคิดวิเคราะห์ ความสามารถในการสื่อสาร การอ่าน ฯลฯ ) 
กิจกรรม ดังรายละเอียดของการเดินเรื่องที่กล่าวไว้ข้างต้น
สื่อ ประกอบด้วยสื่อที่หลากหลาย ควรเป็นสื่อที่นักเรียนและครูช่วยกันหามา 
การวัดและประเมินผล การวัดและประเมินผลในกิจกรรมการเรียนการสอนแบบStory Line เป็นการประเมินจากการสังเกตหรือ ประเมินจากผลงาน หรือชิ้นงานของนักเรียน ผู้สอนต้องเก็บข้อมูลแล้วแปลออกมาเป็นคุณภาพ เช่นการประเมินจากการจัดนิทรรศการและผลงานที่รวบรวมในแฟ้มสะสมผลงาน อาจให้นักเรียนเลือกผลงานที่นักเรียนพอใจ พร้อมอธิบายเหตุผลที่เลือกผลงานชิ้นนั้นมาประเมิน ความก้าวหน้าของพัฒนาการเด็ก โดยมีข้อคิดในการประเมิน ดังนี้
                           1. ประเมินเป็นระยะ
                           2. ครูควรมองการประเมินผลของเด็กในเชิงบวก
                           3. ให้เด็กมีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับชิ้นงานที่นักเรียน ชอบ ไม่ชอบ หรือชิ้นงานที่เขาภูมิใจ
                           4. ไม่ควรเปรียบเทียบผลงานเด็กกับเพื่อนๆ
อ้างอิง
        คนร์ สินธพานนท์และคณะ.(2554) วิธีสอนตามแนวปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพของเยาวชน. ห้างหุ้นส่วนจำกัด 9119 เทคนิคพริ้นติ้ง.
        ฆนัท ธาตุทอง.(2551) การออกแบบการสอนและบูรณาการ.เพชรเกษมการพิมพ์.
กลุ่มการสอนแบบวอลดอร์ฟ

       ผู้ริเริ่มแนวการสอนที่รู้จักชื่อแพร่หลายแบบวอลดอร์ฟ (Waldort)คือ รูดอร์ฟ สไตเนอร์(Rudolf Steiner) วิธีการสอนของสไตเนอร์หรือวอลดอร์ฟ นั้นจัดเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นกิจกรรมการเล่น คือ ดนตรี จังหวะ บทเพลง นิทาน เพราะกิจกรรมเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความคิดจินตนาการของเด็ก และช่วยพัฒนาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย

วอลดอร์ฟ จะพัฒนาเด็กได้อย่างไร
1.เด็กเรียนรู้จากการเลียนแบบ 0-7 ปี
2.เน้นการเล่นของเด็ก
3-7 ปี  
3. มีการจัดอุปกรณ์เครื่องเขียน
4. การเรียนรู้ของเด็กทั้งในบ้านและในชั้นเรียนไม่ควรมีของเล่นมากเกินไป
5. พ่อแม่สามารถทำของเล่นง่ายๆให้ลูกได้
6. ของเล่นในห้องเรียนสามารถเป็นของใช้ภายในบ้าน
7. พ่อแม่ไม่ควรให้ลูกดูทีวีมากเกินไป
8.ทุกเช้าก่อนเข้าเรียนจะมี “morning verse”
9. การสอนแบบวอลดอร์ฟไม่เน้นการสอนทางวิชาการ
10. วอลดอร์ฟให้ความสำคัญกับการจัดสิ่งแวดล้อมที่สวยงามเป็นธรรมชาติ

แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ
       โรงเรียนแนวการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟ เป็นแนวการศึกษาที่บูรณาการวิชาการไปกับกิจกรรรมต่างๆ โดยมีครูคอยดูแลและอำนวยความสะดวก เน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนการสอนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติทั้งในกลางแจ้งและในห้องเรียน โดยเชื่อว่าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี เพื่อพัฒนาให้เด็กเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพที่สมดุลกลมกลืนไปกับโลกและสิ่งแวดล้อมและได้ใช้พลังงานทุกด้านอย่างพอเหมาะ

จุดเด่นของโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
  • เป้าหมาย คือ ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระ
  • เน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ความรู้สึก และผ่านการคิด เน้นการให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ
  • จะสอนตามพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะวัย 0-7 ปีเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางกายมาก จึงเน้นไปที่การเล่นเพื่อพัฒนาอวัยวะส่วน
  • สิ่งที่การเรียนแนววอลดอร์ฟเน้นมากคือ "จินตนาการของเด็กคือการเรียนรู้" วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้จะต้องเป็นธรรมชาติ เช่น ถ้าวาดรูป สีที่ใช้ก็จะมีแค่สีปฐมภูมิ คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง เท่านั้น แนวคิดนี้จะทำให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน มองเห็นว่าโลก สิ่งแวดล้อม และสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันต้องช่วยกันรักษา ซึ่งส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์เป็น

กิจกรรมที่มุ่งเน้นในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
          ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมักจะเน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ ไม่มีห้องเรียน ไม่มีกระดานดำ แต่จะมีมุมต่างๆ ให้เด็กได้เรียนรู้ ได้เป็นอิสระที่จะคิดและสร้างสรรค์ หรือหากเด็กๆ ต้องการเล่นตุ๊กตา เล่นรถ ในห้องก็จะมีข้าวของที่ทำจากธรรมชาติให้ประดิษฐ์ดัดแปลงเล่นกัน เช่น ผ้าหลากสี ท่อนไม้ เปลือกไม้ ลูกสน เป็นต้น ทุกอย่างจะถูกกำหนดให้เป็นได้สารพัดตามแต่ใจเด็กๆ

สภาพแวดล้อมในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
        รูดอร์ฟ สไตเนอร์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้ริเริ่มแนวการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟเชื่อว่า สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี โดยเฉพาะเด็กๆ ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนจะซึมซับสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้ได้ง่าย ดังนั้นการจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ มีการเน้นความงดงามตามธรรมชาติ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล แสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จัดจ้า ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีที่ไพเราะ จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน และสดชื่นให้เกิดขึ้นในจิตใจเด็กเด็กจะมีพลังตื่นตัวและมีสมาธิในการเรียนรู้ได้ไม่ยาก

สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนโรงเรียนวอลดอร์ฟ
        การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อม ให้เด็กได้พัฒนาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไป เด็กจะพัฒนาถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้ โดยการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเป็นไปอย่างสมดุล โดยการเรียนรู้ทางกาย(การลงมือทำ) หัวใจ(ความรู้สึก ความประทับใจ) และสมอง(ความคิด)


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมการสอนแบบวอลดอร์ฟได้ที่วีดีโอด้านล่าง

อ้างอิง
        ศาตราจารย์ ดร.อารี  สัณหฉวี หนังสือ นวัตกรรมปฐมวัย ปีที่พิมพ์ 2537 การสอนแบบวอลดอร์ฟจะพัฒนาเด็กได้อย่างไร
         แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ เรียบเรียงข้อมูลจาก : พ็อกเก็ตบุ๊กส์ เลือกอนุบาล เพื่อสร้างอนาคตลูก จาก สำนักพิมพ์รักลูกบุ๊กส์
การสอนแบบภาษาธรรมชาติ Whole  Language

ที่มาของการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
          การสอนภาษาแบบธรรมชาติ  เกิดจากหลักการ และแนวคิด ของนักศึกษา นักวิจัยทางภาษาที่มีชื่อเสียง คือ Jean piaget ผู้เชื่อว่าการที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆรอบตัวจะเป็นการคิดสร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่การรับเข้าไปเฉยๆ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลทางสังคม และเชื่อว่าการสอนภาษาเป็นความสำคัญที่เด็กจะต้องใช้เพื่อการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเด็กและภาษามีความหมายต่อชีวิต การเรียนภาษาจึงต้องมาจากสิ่งที่เป็นจริงและเกี่ยวข้องกับเด็ก โดยเรียนภาษาแบบองค์รวมคือ เรียน ฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมกัน

จอห์น เพียเจต์
Jean piaget
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ
         การสอนภาษาแบบธรรมชาติคือ การที่เด็กได้เรียนรู้ การใช้ภาษาทั้งด้านการ ฟัง พูด อ่าน เขียน เป็นไปตามธรรมชาติอย่างมีความหมายสอดคล้องเหมาะสมกับวัย  โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน เขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง เช่นการอ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังเรื่องเล่าจากเพื่อน ฟังนิทานจากครู เป็นต้น

ลักษณะการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
         เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้และร่วมมือจัดการเรียนการสอนระหว่างเด็กกับครู ตั้งแต่วางแผนการเรียนว่า จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไร และใครรับผิดชอบส่วนไหนบ้าง คำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็ก เพราะเด็กจะต้องอยู่ในสังคม ห้องเรียนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมให้กับเด็ก

สถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนแบบภาษาในระดับปฐมวัย
        โรงเรียนเกษมพิทยาได้ค้นพบว่า ปัจจุบันเด็กประถมวัยมีปัญหาการเรียนภาษา มีทัศนคติที่ไม่ดี เชื่อว่าเรียนภาษายาก เพราะการสอนเด็กด้วยระบบเก่าเน้นทักษะและเน้นไวยากรณ์ โดยการแจกลูกผสมคำ แต่เด็กกลับอ่านหนังสือไม่ออกในระดับประถมศึกษา ถึงแม้จะฝึกหนัก
       การแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การเลือกใช้วิธีการสอนที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย เพราะการพัฒนาการทางสมองจะมีการทำงานแบบองค์รวม

                      ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมการสอนแบบภาษาธรรมชาติด้ที่วีดีโอด้านล่าง

แหล่งที่มา
        กุลยา ตันติผลาชีวะ (2545). รูปแบบการเรียนการสอนปฐมวัยศึกษา. กรุงเทพมหานคร: บริษัทเอดิสัน เพรสโปรดักส์ จำกัด.
        บุบผา เรืองรอง (2550). ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย . นครศรีธรรมราช: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช.
        วรนาท รักสกุลไทย (2554). นวัตกรรมการสอนภาษาแบบธรรมชาติ. กรุงเทพมหานคร: Thai Teacher TV . (2554 ) . นวัตกรรมการสอนภาษาแบบธรรมชาติ . กรุงเทพมหานคร: โรงเรียนเกษมพิทยา
                                    

 Skills / Brainstorming
-ทักษะการคิดวิเคราะห์
- ทักษะการสื่อในการนำเสนองาน
- ทักษะเทคโนโลยี
Atmosphere in the classroom
- ห้องเรียนสะอาด มีความเรียบร้อย เพื่อนๆตั้งใจฟังเเละจดบันทึก 
The teaching and learning
- สามารถนำรูปแบบการสอนเเต่ละรูปแบบมาประยุกต์ใช้ในด้านการสอนแบบวอลดอร์ฟ เป็นการสอนที่สามารถจัดได้ โดยหาของเล่นจากวัสดุธรรมชาติ เเละกิจกรรมในการสอนเเบบวอลดอร์ฟก็สามารถนำวัสดุธรมมชาติมาทำกิจกรรมได้เช่นเดียวกัน
Self-analysis
- ตั้งใจเรียน จดบันทึกตามความเข้าใจ  เเต่งกายสุภาพเรียบร้อย

วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561


                            Record 4
Monday 5 February 2018


Content
วันนี้เพื่อนได้นำเสนอรูปเเบบการสอนมอนเตสซอรี่และรูปแบบการเรียนการสอนแบบไฮสโคป

                                                    รูปเเบบการสอนมอนเตสซอรี่

ที่มาของการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ 
          การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่เกิดจากแนวคิดของมาเรีย มอนเตสซอรี่ (Maria Montessori) แพทย์หญิงชาวอิตาลีที่มีความเชื่อว่า “การให้การศึกษากับเด็กในวัยเริ่มต้น ไม่ใช่การนำความรู้ไปบอกเด็ก แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการทางธรรม ชาติของเขา” มอนเตสซอรี่เริ่มต้นนำแนวการสอนนี้ไปใช้กับเด็กที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาล่าช้า โดยประดิษฐ์สื่อวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นหัวใจสำคัญในการเปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นพบสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง

จุดมุ่งหมายของการสอนแบบมอนเตสซอรี่
          คือ “ช่วยพัฒนา หรือให้เด็กมีอิสระในด้านบุคลิกภาพของเด็กในวิถีทางต่างๆ อย่างมากมาย“ สิ่งแวดล้อมของโรงเรียนระบบมอนเตสซอรี่ คือ การจัดระบบเพื่อสะท้อนถึงศักยภาพที่แท้จริง และความต้องการของเด็ก เพื่อเด็กจะได้พัฒนาบุคลิกภาพของเขา

การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ 
         การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่เป็นการจัดสภาพการเรียนรู้สำหรับเด็ก โดยมีครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือนบ้าน และเป็นผู้ให้การสนับสนุน ให้เสรีภาพแก่เด็ก ให้คำปรึกษาและกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ให้ใช้จิตใจซึมซับสิ่งแวดล้อมเพราะมอนเตสซอรี่เชื่อว่า เด็กคือ ผู้รู้ความต้องการของตนเองและมีความสามารถที่จะซึมซับการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมได้
หลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย 3-6 ขวบ ครอบคลุมการศึกษา 3 ด้าน
1.ด้านทักษะกลไก (Motor Education) หรือกลุ่มประสบการณ์ชีวิต มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการดูแลและจัดการสิ่งแวดล้อมเด็กจะทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเบื้องต้นของชีวิตประจำวัน เช่น มารยาทในการรับประทานอาหารเป็นต้น
2.ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses) มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการสังเกต การใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเกี่ยวกับมิติรูปทรง ปริมาตรของแข็ง ของทึบ อุณหภูมิ เด็กจะได้รู้จักทรงกระบอก ลูกบาศก์ ปริซึม แขนงไม้ ชุดรูปทรงเรขาคณิต
3.ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing and Arithmetic) หรือกลุ่มวิชาการ
มีจุดประสงค์เพื่อเตรียมเด็กเข้าสู่ระดับประถมศึกษา เตรียมตัวด้านการอ่านการเขียนโดยธรรมชาติ
การประสมคำ คณิตศาสตร์

การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่มีลักษณะ
         การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่มีลักษณะส่งเสริมการเรียนด้วยตนเองของเด็ก เน้นการช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด โดยสภาพของโรงเรียนจัดสิ่งแวดล้อมให้เสมือนบ้าน มีห้องต่างๆ ที่บ้านควรมี เช่น ห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่นมีห้องโถงใหญ่ที่จัดมุมการเรียนรู้ไว้ตอบสนองความต้องการของเด็ก ได้แก่     มุมฝึกประสาทสัมผัส มุมภาษา มุมคณิตศาสตร์ มุมดนตรี มุมศิลปะ มุมที่จะสอนสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และมุมภูมิศาสตร์ เป็นต้น ห้องนี้เปรียบเสมือนห้องทำงานของเด็ก จะมุ่งเน้นทางด้านสติปัญญา

หลักการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ มีดังนี้
-   จัดห้องเรียนให้เสมือนบ้าน
-   ให้เสรีภาพกับเด็กที่จะเลือกเล่นด้วยตนเอง
-   จัดสภาพการณ์ต่างๆที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง
-   พัฒนาจิตใจของเด็กไปพร้อมกับการพัฒนาการทางด้านสติปัญญาและร่างกาย
-   การเรียนไปพร้อมกับการเล่น
-   ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสของเด็กทุกด้าน
-   การรักเด็กและนับถือความสามารถที่เป็นธรรมชาติของเด็ก

การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่จะส่งเสริมเด็กให้เกิดคุณลักษณะ ดังนี้
-   เด็กสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ดีเพราะหลักสูตรมอนเตสซอรี่ออกแบบโดยการเลียนแบบชีวิตจริง
-   เด็กเรียนด้วยความสุข เพราะเป็นจัดการเล่นปนเรียน สอดคล้องกับธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก
-   เด็กได้เข้าสังคมกับเพื่อน ให้เด็กที่มีความแตกต่างกันเรียนรู้ที่อยู่ร่วมกัน ให้ความช่วยเหลือกัน เพราะการเรียนแบบจัดกลุ่มเด็กหลายอายุ รวมกลุ่มกัน
-   การเรียนที่มุ่งให้เด็กทำกิจกรรมจนสำเร็จด้วยตนเอง ไม่มีการแข่งขันเปรียบเทียบ เด็กจะรู้สึกท้าทายตนเอง ไม่เครียด ไม่เบื่อหน่ายการเรียน




                                                รูปแบบการเรียนการสอนแบบไฮสโคป

        การสอนเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้พัฒนาคน  การเรียนรู้และการสอนทำให้มี การคิดเชื่อมโยงความรู้ได้อย่างรวดเร็ว  การศึกษาปฐมวัยจึงเป็นการศึกษาที่จัดให้แก่เด็ก  ขวบแรกเป็นการจัดการศึกษาเพื่อการดูแล และสร้างเสริมเด็กให้พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
       การสอนเด็กปฐมวัยไม่ใช่การถ่ายทอดความรู้  แต่เป็นการจัดประสบการณ์อย่างมีรูปแบบเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ  พัฒนาสมรรถนะทางปัญญา  และพัฒนาจิตนิยมที่ดี  การเรียนการสอนสำหรับปฐมวัย มีหลากหลายรูปแบบแต่สำหรับรูปแบบที่ผู้เขียนจะนำเสนอนั้นก็เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีความน่าสนใจอีกรูปแบบหนึ่ง  รูปแบบการเรียนการสอนที่ว่านั้นก็คือ  รูปแบบการเรียนการสอนแบบไฮสโคป
ความเป็นมา

การเรียนการสอนแบบไฮสโคป  
          เป็นแนวคิดการจัดการศึกษาที่พัฒนามาจากโครงการ  เพอรี่ พรีสคูล (Perry Preschool Project) เมืองยิปซีแลนติ (Ypsilanti) รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1960 โดย เดวิด ไวคาร์ด (David Weikart) และคณะ เป็นโปรแกรมการศึกษาที่มีหลักสูตรและการสอนเน้นการเรียนรู้โดยใช้หลักการสร้างความรู้ (constructive process) จากการกระทำ ที่ต้องมีการร่วมกันคิดร่วมกันทำตามแผนที่กำหนด ซึ่งต่อมาได้มีผู้นำรูปแบบการศึกษาของไฮสโคปไปใช้อย่างแพร่หลาย รวมถึงการนำมาใช้กับการเรียนการสอนระดับปฐมวัยศึกษาด้วย
แนวคิดพื้นฐาน
   การสอนแบบไฮสโคป 
         มีพื้นฐานแนวคิดมาจากทฤษฎีของเพียเจท์ (Piage’s Theory)ว่าด้วยพัฒนาการทางสติปัญญา ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติที่เด็กสามารถสร้างความรู้ได้เองโดยใช้กระบวนการสร้างสรรค์การเรียนรู้ (Constructive process of learning) เด็กจะเรียนรู้จากการกระทำของตน การประเมินผลงานอย่างมีแบบแผน ช่วยให้เด็กเกิดความรู้ขึ้น 
  เด็กจะได้รับการกระตุ้นจากครูให้คิดนำอุปกรณ์มากระทำหรือเล่นด้วยการวางแผนการทำงาน แล้วดำเนินตามแผนไว้ตามลำดับพร้อมแก้ปัญหาและทบทวนงานที่ทำด้วยการทำงานร่วมกันกับเพื่อนเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยมีครูคอยให้กำลังใจ  ถามคำถาม  สนับสนุน และเพิ่มเติมสิ่งที่เด็กต้องเรียนรู้

แนวคิดสำคัญ
         แนวการสอนแบบไฮสโคป เน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย  ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับการพัฒนาการของเด็กและการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น
การเรียนการสอน
       การเรียนการสอนแบบไฮสโคป เป็นการสร้างองค์ความรู้จากการที่เด็กได้ลงมือจัดกระทำกับอุปกรณ์ หรือสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นประสบการณ์ตรง  โดยที่ครูจะเป็นคนเตรียมอุปกรณ์ให้กับเด็กและกระตุ้นให้เด็กพัฒนาและดำเนินกิจกรรม โดยใช้หลักปฏิบัติ 3  ประการ  คือ
Plan เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติหรือดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมาย  มีการสนทนาระหว่างครูกับเด็ก  ว่าจะทำอะไร อย่างไร  การวางแผนกิจกรรมอาจจะใช้แสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็ก  เป็นกระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือก และตัดสินใจ
Do คือการลงมือกระทำตามแผนที่วางไว้  เป็นส่วนที่เด็กได้ร่วมกันคิด แก้ปัญหา  ตัดสินใจและทำด้วยตนเอง  เป็นส่วนที่เด็กได้มีการพัฒนาการพูดและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง
Review  เป็นช่วงที่ได้งานตามจุดประสงค์  ช่วงนี้จะมีการอภิปรายและเล่าถึงผลงานที่เด็กทำเพื่อทบทวนว่า เด็กสามารถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้หรือไม่  มีการเปลี่ยนแปลงแผนอย่างไร  และชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างแผนกับการปฏิบัติ  และผลงานที่ทำ รวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับ

สรุป
         การเรียนการสอนแบบไฮสโคป  สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ได้ทุกกิจกรรม เพราะกระบวนการและวิธีการสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กเปิดกว้างมีการคิดการปฏิบัติ ตามวงจรของการวางแผน  การปฏิบัติ และการทบทวน ( plan-do-review cycle ) เมื่อทำกิจกรรมแล้วเด็กสามารถที่คิดกิจกรรมอื่นต่อเนื่องได้ตามความสนใจ  จุดสำคัญอยู่ที่ประสบการณ์การเรียนรู้ ( Key  experience ) ที่เด็กควรได้รับระหว่างกิจกรรม  ซึ่งครูต้องมีปฏิสัมพันธ์และกระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากกิจกรรมให้มากที่สุด  ครู คือบุคคลที่จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ  หากรูปแบบการเรียนการสอนที่มีความสอดคล้องภาวะการเรียนรู้ของเด็กและครูมีความเข้าใจในรูปแบบการเรียนการสอน ก็จะเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ที่ดีให้กับเด็กมากยิ่งขึ้น  
  
 Skills / Brainstorming
-ทักษะการคิดวิเคราะห์
- ทักษะการสื่อในการนำเสนองาน
- ทักษะเทคโนโลยี
Atmosphere in the classroom
- ห้องเรียนสะอาด มีความเรียบร้อย เพื่อนๆตั้งใจฟังเเละจดบันทึก มีการตอบโต้สนทนากับอาจารย์
The teaching and learning
- การทบทวนเนื้อหาสัปดาห์ที่เเล้ว ทำให้นักศึกษาเชื่องโยงการเรียนระหว่างสัปดาห์นี้ได้ง่ายขึ้น
- สามารถนำรูปแบบการสอนเเต่ละรูปแบบมาประยุกต์ใช้ในด้านการสอน เช่น การจัดห้องเรียน การใช้สื่อในการสอน
Self-analysis
- ตั้งใจเรียน จดบันทึกตามความเข้าใจ  เเต่งกายสุภาพเรียบร้อย